ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี
วิธีเลือกฟิล์มติดรถยนต์
การเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีคุณสมบัติช่วยลดแสง ลดความร้อนจากแสงแดดที่ส่องมายังตัวรถยนต์ ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีลักษณะเป็นสีรุ้ง เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน จะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ซึ่งการใช้งานขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน ลดความร้อน
ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน
ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน เป็นฟิล์มที่สามารถพบเห็นตามรถยนต์ทั่วไป เพราะส่วนใหญ่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อน และทำหน้าที่สะท้อนความร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือ ฟิล์มปรอท
ฟิล์มสำหรับลดความร้อน สามารถกันได้มากถึง 90 % โดยฟิล์มประเภทนี้ เมื่อมองในเวลากลางวันเข้าไปที่ตัวรถ พบว่ากระจกมีลักษณะคล้ายสายรุ้ง แต่ไม่สามารถมองเห็นภายในรถได้ ราคาไม่สูงมากนัก
- ฟิล์มใสประเภทนาโน
ฟิล์มประเภทนี้มีความใส แสงส่องผ่านมากถึง 60 % แถมยังทนความร้อนได้เป็นอย่างดี เมื่อแสงมาตกกระทบไม่เกิดเงา และที่สำคัญมีราคาแพงมาก
- ฟิล์มนิรภัย
ฟิล์มประเภทนี้สามารถป้องกันการแตกร้าวของกระจกได้ มีทั้งทนความร้อน และไม่ทนความร้อน โดยฟิล์มนิรภัยจะมีความหนาที่ 4 MIL ขึ้นไป เพราะจะช่วยการแตกร้าว แถมยังช่วยปกป้องสิ่งของภายในรถจากขโมยทุบกระจกรถได้ด้วย
- ฟิล์มอินฟาเรด
ฟิล์มประเภทนี้มีความพิเศษ สามารถตัดรังสีอินฟาเรด มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องราคาก็ค่อนข้างสูงหน่อย
การเลือกฟิล์มติดกระจกไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด หากต้องการฟิล์มกันความร้อนพี่หมีแนะนำ ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือ ฟิล์มปรอท เพราะสามารถกันความร้อนได้ถึง 90% แถมยังมีราคาไม่สูงมากอีกด้วย แต่ก่อนติดฟิล์มรถยนต์ ควรทำความเข้าใจหาข้อมูลว่ารถยนต์ของคุณ ควรติดฟิล์มประเภทไหน กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เป็นปัญหาในการขับขี่ ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน
เรียนรู้การใช้งาน สัญญาณกันขโมยรถยนต์
ในปัจจุบันนี้ มีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ความปลอดภัยก็มีน้อยลง ดังนั้น หากมีทางใดที่จะป้องกันตนเองจากโจรผู้ร้าย และอันตรายต่างๆ ได้ ก็ควรที่จะทำเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน
สัญญาณกันขโมยสำหรับรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการป้องกันภัยให้กับรถยนต์ และตัวคุณเองได้อย่างมาก ซึ่งการใช้งานสัญญาณกันขโมยก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด
คำแนะนำเกี่ยวกับการทำงาน
– กด 1 ครั้ง จะมีเสียงสัญญาณดัง 1 ครั้ง เพื่อบอกการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระบบการป้องกันการขโมย ถ้ารถมีการถูกสัมผัส จะมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น 5 วินาที ถ้ารถยังถูกสัมผัสอีกครั้ง สัญญาณเตือนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
– ล็อคเครื่องยนต์รถอัตโนมัติถ้ามีการพยายามติดเครื่องรถโดยกุญแจทุกประเภทและกุญแจผีเพื่อต้องการลักขโมย เสียงสัญญาณเตือนจะดังขึ้น พร้อมสัญญาณไฟแว้บ
หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะถูกล็อคอัตโนมัติ
– การโดนโจรกรรมรถในขณะขับขี่การขับขี่รถโดยสตาร์ทเครื่องจากรีโมท ถ้าระหว่างขับขี่อยู่นั้นมีโจรเข้ามาแย่งชิงรถไปจากท่านให้กดปุ่ม จะทำให้เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมแสงไฟแว้บ หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะถูกดับโดยอัตโนมัติ
เติมลมยางสำคัญอย่างไร เท่าไหร่ถึงเรียกว่าพอดี
การเติมลงยางรถยนต์ อาจเป็นปัญหากับคุณผู้หญิงหลายคน ซึ่งไม่รู้ว่าควรเติมเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน
เรื่องรถกับคุณผู้หญิงมักเป็นปัญหาเพราะเดี๋ยวนู้นเสีย เดี๋ยวนี่พัง หรือแม้กระทั้งการเติมลมยางรถยนต์ ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้แน่ชัดว่าควรเติมเท่าไหร่ดี ต้องปล่อยให้คุณผู้ชายไปเติมให้
หรือไม่ก็เข้าศูนย์ให้ช่างตรวจสอบ แต่วันนี้ เรามีวิธีการเช็กค่าแรงดันลมยางที่เราควรเติมง่าย ด้วยการดูสติกเกอร์ข้างเสาประตูรถ ซึ่งสติกเกอร์แผ่นนี้จะแนะนำปริมาณลมยางที่เหมาะสม
ของรถที่เราขับ
โดยส่วนมากสติกเกอร์ตัวนี้จะถูกติดตั้งอยู่ที่บริเวณเสา B-pillar ฝั่งคนขับขี่ ที่สามารถมองเห็นได้ในขณะเปิดประตูรถ แต่บางยี่ห้ออาจติดไว้บริเวณฝาถังน้ำมันด้านใน
วิธีการอ่านค่าแรงดันลมยางที่สติ๊กเกอร์
kPa (กิโลปาสคาล)
Bar (บาร์)
PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)
ตัวอย่างในภาพสำหรับบรรทุก 3 คน เช่น ยางขนาด 185/65R15
- ล้อหน้า kPa 250 bar 2.5 psi 36 (ล้อหน้าควรเติมลมที่ 36 psi)
- ล้อหลัง kPa 230 bar 2.3 psi 33 (ล้อหลังควรเติมลมที่ 33 psi)
ในกรณีที่มีการขยายขนาดของยางอาจจะต้องมีการเพิ่มลมยางตามขนาดของตัวยางด้วยทำให้ค่ามาตรฐานข้างประตูอาจจะไม่สามารถใช้ได้ และ อีกจุดที่สามารถดูค่าลมยางได้คือคู่มือ
ของตัวรถ ที่ทางศูนย์ให้มา
ทั้งนี้ ถ้ามีผู้โดยสารที่ต้องนั่งเบาะหลังเป็นประจำ รถยนต์บางรุ่นอาจมีสติกเกอร์แนะนำค่าแรงดันลมยาง PSI ที่แนะนำสำหรับกรณีบรรทุกผู้โดยสารเต็มพิกัดมาให้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น 36 psi เป็น 39 psi แต่ทางที่ดีควรตรวจเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ลมยางอ่อนเกินไป เพราะอาจเกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้