• หน้าหลัก
  • ค้นหารถ
  • รถมาใหม่
  • รถทั้งหมด
  • เปรียบเทียบรถ
  • โปรโมชั่น
  • รอบรู้เรื่องรถ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • หน้าหลัก
  • ค้นหารถ
  • รถมาใหม่
  • รถทั้งหมด
  • เปรียบเทียบรถ
  • โปรโมชั่น
  • รอบรู้เรื่องรถ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
ค้นหารถในงบที่ใช่
เลือกประเภทรถ
รถกระบะ (108 คัน)
รถเก๋ง (54 คัน)
รถเก๋ง EV (0 คัน)
รถตู้ (1 คัน)
เลือกยี่ห้อรถ
กรุณาเลือกประเภทรถก่อน
เลือกรุ่นรถ
กรุณาเลือกยี่ห้อรถก่อน
เลือกปีรถ
-
48
60
72
ค้นหารถ
ค้นหารถในงบที่ใช่

เลือกประเภทรถ
รถกระบะ
รถเก๋ง
รถเก๋ง EV
รถตู้
เลือกยี่ห้อรถ
กรุณาเลือกประเภทรถก่อน
เลือกรุ่นรถ
กรุณาเลือกยี่ห้อรถก่อน
ปีรถ
-
ค้นหารถ

รถโปรโมชั่น

Isuzu
D-Max All New Blue Power
2022
เลขไมล์ 12,000 กม.
Promotion ราคา
729,000.-
Isuzu
D-Max All New Blue Power
2019
เลขไมล์ 0 กม.
Promotion ราคา
569,000.-
Isuzu
D-Max All New Blue Power
2022
เลขไมล์ 0 กม.
Promotion ราคา
559,000.-
Toyota
Yaris
2012
เลขไมล์ 0 กม.
Promotion ราคา
299,000.-
Isuzu
D-Max All New Blue Power
2022
เลขไมล์ 19,000 กม.
Promotion ราคา
559,000.-
Toyota
Hilux Revo
2020
เลขไมล์ 60,000 กม.
Promotion ราคา
429,000.-
มีรถโปรโมชั่นทั้งหมด
0
คัน
ดูรถทั้งหมด
รอบรู้เรื่องรถ
ร้อนขนาดนี้ ติดฟิมล์รถยนต์แบบไหนดี ?

ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี

     วิธีเลือกฟิล์มติดรถยนต์

     การเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีคุณสมบัติช่วยลดแสง ลดความร้อนจากแสงแดดที่ส่องมายังตัวรถยนต์ ฟิล์มติดรถยนต์แบบย้อมสี มีลักษณะเป็นสีรุ้ง เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน จะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ซึ่งการใช้งานขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล

     

     ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน ลดความร้อน

     ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน

     ฟิล์มติดรถยนต์แบบมาตรฐาน เป็นฟิล์มที่สามารถพบเห็นตามรถยนต์ทั่วไป เพราะส่วนใหญ่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อน และทำหน้าที่สะท้อนความร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

     - ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือ ฟิล์มปรอท

     ฟิล์มสำหรับลดความร้อน สามารถกันได้มากถึง 90 % โดยฟิล์มประเภทนี้ เมื่อมองในเวลากลางวันเข้าไปที่ตัวรถ พบว่ากระจกมีลักษณะคล้ายสายรุ้ง แต่ไม่สามารถมองเห็นภายในรถได้ ราคาไม่สูงมากนัก

     - ฟิล์มใสประเภทนาโน

     ฟิล์มประเภทนี้มีความใส แสงส่องผ่านมากถึง 60 % แถมยังทนความร้อนได้เป็นอย่างดี เมื่อแสงมาตกกระทบไม่เกิดเงา และที่สำคัญมีราคาแพงมาก

     - ฟิล์มนิรภัย

     ฟิล์มประเภทนี้สามารถป้องกันการแตกร้าวของกระจกได้ มีทั้งทนความร้อน และไม่ทนความร้อน โดยฟิล์มนิรภัยจะมีความหนาที่ 4 MIL ขึ้นไป เพราะจะช่วยการแตกร้าว แถมยังช่วยปกป้องสิ่งของภายในรถจากขโมยทุบกระจกรถได้ด้วย

     - ฟิล์มอินฟาเรด

     ฟิล์มประเภทนี้มีความพิเศษ สามารถตัดรังสีอินฟาเรด มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องราคาก็ค่อนข้างสูงหน่อย

     

     การเลือกฟิล์มติดกระจกไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด หากต้องการฟิล์มกันความร้อนพี่หมีแนะนำ ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือ ฟิล์มปรอท เพราะสามารถกันความร้อนได้ถึง 90% แถมยังมีราคาไม่สูงมากอีกด้วย แต่ก่อนติดฟิล์มรถยนต์ ควรทำความเข้าใจหาข้อมูลว่ารถยนต์ของคุณ ควรติดฟิล์มประเภทไหน กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เป็นปัญหาในการขับขี่ ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน

อ่านต่อ
สัญญาณกันขโมยรถยนต์ทำงานยังไง ?

เรียนรู้การใช้งาน สัญญาณกันขโมยรถยนต์

     

     ในปัจจุบันนี้ มีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ความปลอดภัยก็มีน้อยลง ดังนั้น หากมีทางใดที่จะป้องกันตนเองจากโจรผู้ร้าย และอันตรายต่างๆ ได้ ก็ควรที่จะทำเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน

     สัญญาณกันขโมยสำหรับรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการป้องกันภัยให้กับรถยนต์ และตัวคุณเองได้อย่างมาก ซึ่งการใช้งานสัญญาณกันขโมยก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด

     

     คำแนะนำเกี่ยวกับการทำงาน

     – กด 1 ครั้ง จะมีเสียงสัญญาณดัง 1 ครั้ง เพื่อบอกการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระบบการป้องกันการขโมย ถ้ารถมีการถูกสัมผัส จะมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น 5 วินาที ถ้ารถยังถูกสัมผัสอีกครั้ง สัญญาณเตือนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     

     – ล็อคเครื่องยนต์รถอัตโนมัติถ้ามีการพยายามติดเครื่องรถโดยกุญแจทุกประเภทและกุญแจผีเพื่อต้องการลักขโมย เสียงสัญญาณเตือนจะดังขึ้น พร้อมสัญญาณไฟแว้บ

     หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะถูกล็อคอัตโนมัติ

     

     – การโดนโจรกรรมรถในขณะขับขี่การขับขี่รถโดยสตาร์ทเครื่องจากรีโมท ถ้าระหว่างขับขี่อยู่นั้นมีโจรเข้ามาแย่งชิงรถไปจากท่านให้กดปุ่ม จะทำให้เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมแสงไฟแว้บ หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะถูกดับโดยอัตโนมัติ

อ่านต่อ
เติมลมยางสำคัญอย่างไร ? เติมเท่าไหร่ถึงดี ?

เติมลมยางสำคัญอย่างไร เท่าไหร่ถึงเรียกว่าพอดี

     

     การเติมลงยางรถยนต์ อาจเป็นปัญหากับคุณผู้หญิงหลายคน ซึ่งไม่รู้ว่าควรเติมเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน

     เรื่องรถกับคุณผู้หญิงมักเป็นปัญหาเพราะเดี๋ยวนู้นเสีย เดี๋ยวนี่พัง หรือแม้กระทั้งการเติมลมยางรถยนต์ ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้แน่ชัดว่าควรเติมเท่าไหร่ดี ต้องปล่อยให้คุณผู้ชายไปเติมให้

     หรือไม่ก็เข้าศูนย์ให้ช่างตรวจสอบ แต่วันนี้ เรามีวิธีการเช็กค่าแรงดันลมยางที่เราควรเติมง่าย ด้วยการดูสติกเกอร์ข้างเสาประตูรถ ซึ่งสติกเกอร์แผ่นนี้จะแนะนำปริมาณลมยางที่เหมาะสม

     ของรถที่เราขับ

     

     โดยส่วนมากสติกเกอร์ตัวนี้จะถูกติดตั้งอยู่ที่บริเวณเสา B-pillar ฝั่งคนขับขี่ ที่สามารถมองเห็นได้ในขณะเปิดประตูรถ แต่บางยี่ห้ออาจติดไว้บริเวณฝาถังน้ำมันด้านใน

     วิธีการอ่านค่าแรงดันลมยางที่สติ๊กเกอร์

     kPa (กิโลปาสคาล)

     Bar (บาร์)

     PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)

     

     ตัวอย่างในภาพสำหรับบรรทุก 3 คน เช่น ยางขนาด 185/65R15

     - ล้อหน้า kPa 250 bar 2.5 psi 36 (ล้อหน้าควรเติมลมที่ 36 psi)

     - ล้อหลัง kPa 230 bar 2.3 psi 33 (ล้อหลังควรเติมลมที่ 33 psi)

     

     ในกรณีที่มีการขยายขนาดของยางอาจจะต้องมีการเพิ่มลมยางตามขนาดของตัวยางด้วยทำให้ค่ามาตรฐานข้างประตูอาจจะไม่สามารถใช้ได้ และ อีกจุดที่สามารถดูค่าลมยางได้คือคู่มือ

     ของตัวรถ ที่ทางศูนย์ให้มา

     

     ทั้งนี้ ถ้ามีผู้โดยสารที่ต้องนั่งเบาะหลังเป็นประจำ รถยนต์บางรุ่นอาจมีสติกเกอร์แนะนำค่าแรงดันลมยาง PSI ที่แนะนำสำหรับกรณีบรรทุกผู้โดยสารเต็มพิกัดมาให้อีกด้วย

     ตัวอย่างเช่น 36 psi เป็น 39 psi แต่ทางที่ดีควรตรวจเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ลมยางอ่อนเกินไป เพราะอาจเกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้

อ่านต่อ

www.maxgoodcars.com
คิดถึงรถ คิดถึงเรา

www.maxgoodcars.com
คิดถึงรถ คิดถึงเรา
เรามีรถให้เลือกมากกว่า
250
คัน
ยอดขายรถยนต์มือสอง
10,000
คัน
โชว์รูมได้
มาตราฐาน
รับประกัน รถทุกคัน
ไม่มีข้อยกเว้น
เราคือที่สุด
ของการเซฟดอกเบี้ยให้คุณ
เครือข่ายไฟแนนซ์ทั่วประเทศ
ผ่านง่ายสะดวกสบาย
ใส่ใจทุกเคส
  • หน้าหลัก
  • ค้นหารถ
  • รถมาใหม่
  • รถทั้งหมด
  • เปรียบเทียบรถ
  • โปรโมชั่น
  • รอบรู้เรื่องรถ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
www.maxgoodcars.com® 2022 - All Rights Reserved
ติดต่อเจ้าหน้าที่